เคยสงสัยไหมว่าทุกครั้งที่ใช้ครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์แต่ละตัว ทำไมถึงเติมน้ำและคงความชุ่มชื่นได้ไม่เท่ากัน โว้กบิวตี้พามาทำความรู้จักกับ 3 สารประกอบที่ใช้เป็นส่วนผสมในมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยในเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวได้อย่างยาวนาน ซึ่งแต่ละอันก็ทำหน้าที่ไม่เหมือนกันและยังเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกันไปอีกด้วย

Humectant

เป็นสารดึงน้ำหรือสารที่ดูดความชุ่มชื่นจากชั้นหนังแท้มาสู่ชั้นหนังกำพร้า หรือพูดง่ายๆ ก็คือจะทำหน้าที่ดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิวของเรา สารที่พบบ่อยเช่น Sodium hyaluronate, Collagen, Glycerin, Sorbitol, Propylene Glycerol, Urea, Hyaluronic Acid ฯลฯ แต่ถ้าอากาศหนาวๆ จนแห้ง ทำให้เกิดการดึงน้ำเข้าสู่ผิวได้น้อยลง ใครที่มีผิวขาดน้ำก็ควรมองหาตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นอย่างอื่นทดแทนด้วย

Moisturizing Cream จาก CeraVe (ราคา 795 บาท)

Emollient

เป็นสารที่ช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนนุ่มขึ้น โดยจะเข้าไปเคลือบร่องผิวหนังชั้นบนสุด แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าสารกลุ่มอื่น เพราะบางครั้งอาจมีการผสมของพาราฟิน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ เป็นสารที่ช่วยให้ไฟติดได้และถ้าสะสมในผิวมากๆ ก็จะเกิดการระคายเคืองได้ ฉะนั้นผิวแพ้ง่ายและบอบบางควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ สารที่ใช้บ่อยได้แก่ Cyclomethicone, Dimethicone Copolyol, Glyceryl Sterates, Cholesterol, Squalene, Fatty Acid ฯลฯ

F-Balm Electrolyte Waterfacial Hydrating Mask จาก Elephant (ราคา 2,030 บาท)

Occlusives

เป็นสารที่ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว โดยทำหน้าที่เคลือบผิวกันน้ำระเหยออกจากผิวไว้ที่ผิวชั้นนอก ผิวชั้นบนสุดจึงได้ความชุ่มชื่นจากชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ มักจะมาในรูปแบบของออยล์หรือบาล์ม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งมาก ซึ่งสารที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด คือ Petrolatum สามารถลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ถึง 99% นอกจากนี้ก็ยังมีซิลิโคน (Cyclomethicone, Dimethicone), น้ำมันบำรุงผิวที่ได้จากพืช (Caster Oil, Corn Oil, Grape Seed Oil และ Soybean Oil), กรดไขมันอย่าง Lanolin Acid, Stearic Acid), ขี้ผึ้งหรือแว็กซ์ (Beeswax, Sterayl Stearate), สเตอรอล (Cholesterol, Ceramides) เป็นต้น